ในวันที่ทุกคนสามารถเปิดแอปฯ แล้วเลือกลงทุนในกองทุนรวมได้ภายในไม่กี่คลิก คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “กองทุนไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุดใน 1 ปีที่ผ่านมา” แต่ควรเป็นกองทุนไหนให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนและเหมาะกับเราในระยะยาว
ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยยึดผลตอบแทนย้อนหลัง เป็นเข็มทิศหลัก ซึ่งอาจนำพาไปสู่กองทุนที่ดูดีแต่ “ไม่ทน” หรือไม่เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตนเองเลยด้วยซ้ำ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกสิ่งที่ควรดู เพื่อให้การลงทุนในกองทุนรวมของคุณ “มั่นคงกว่าตัวเลขย้อนหลัง”
ความเสี่ยงที่คุณรับไหว ไม่ใช่แค่ที่กองทุนเสี่ยง
ก่อนจะมองหากองทุนที่ผลตอบแทนสูงที่สุด ลองถามตัวเองว่าถ้าวันหนึ่งขาดทุน 20% ยังรับไหวไหม ? เพราะแม้กองทุนจะระบุว่าเป็นกองทุนความเสี่ยงปานกลาง แต่ความเสี่ยงนั้น คือในมุมมองของผู้จัดการกองทุน ไม่ใช่ความรู้สึกของคุณเมื่อกราฟแดงทั้งพอร์ต
การลงทุนในกองทุนรวมที่ดี ต้องเริ่มจากความเข้าใจว่า “ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ของตัวเองอยู่ตรงไหน แล้วค่อยหากองทุนที่สอดคล้องกัน ไม่ใช่ไล่ตามผลตอบแทนย้อนหลังแล้วจบด้วยความเครียด
พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายรวม (TER) ที่กินกำไรไปแบบเงียบ ๆ
Total Expense Ratio (TER) คือค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดที่กองทุนหักไว้ ซึ่งมีผลอย่างมากกับผลตอบแทนในระยะยาว การลงทุนในกองทุนรวมที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนดี อาจหักค่าใช้จ่ายไปจนเหลือไม่คุ้มก็เป็นได้
กองทุนบางแห่งมีค่าใช้จ่ายต่อปีเกิน 2% ซึ่งเมื่อสะสมหลายปีอาจกลายเป็นต้นทุนมหาศาล ขณะที่กองทุนอีกหลายแห่ง “บริหารแบบมีวินัย” ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำกว่า 1% แต่ยังคงผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ
ทีมผู้จัดการกองทุนคือ “คนจริง” ไม่ใช่แค่ชื่อแบรนด์
เวลาค้นหาข้อมูลกองทุน คนส่วนใหญ่มักมองแค่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดยลืมดูว่า “ใคร” คือคนที่บริหารเงินเราจริง ๆ
ทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความสม่ำเสมอในการลงทุน ใช้กลยุทธ์ที่ชัดเจน และมี track record ที่ยาวนาน คือปัจจัยที่ทำให้ผลตอบแทน “มีคุณภาพ” และลดความผันผวนได้มากกว่ากองทุนที่เปลี่ยนผู้จัดการบ่อย หรือปรับกลยุทธ์ตามกระแสตลอดเวลา
นโยบายการลงทุนสม่ำเสมอ = ความมั่นใจในระยะยาว
ลองย้อนดูว่า “กองทุนนี้ลงทุนในอะไรบ้าง” และ “เปลี่ยนนโยบายหรือปรับพอร์ตบ่อยแค่ไหน” เพราะการลงทุนในกองทุนรวมควรมองในมุมของวินัยมากกว่าความหวือหวา
กองทุนที่เปลี่ยนกลยุทธ์บ่อยเพื่อวิ่งตามเทรนด์ มักให้ผลตอบแทนดีในบางช่วง แต่ไม่ยืนระยะได้ดีเท่ากองทุนที่มีปรัชญาการลงทุนชัดเจนต่อเนื่องมาหลายปี
Benchmark ที่ใช้เปรียบเทียบ ต้องเทียบถูกเรื่อง
สุดท้าย อย่าลืมดูว่า “ผลตอบแทนย้อนหลังที่ชอบนั้น เทียบกับอะไร ?” ถ้ากองทุนบอกว่าให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ benchmark ที่ใช้คือดัชนีตลาดหุ้นไทยซึ่งปีนั้นให้ผลตอบแทน 15% แปลว่าผลการดำเนินงานของกองทุนยัง “ด้อยกว่าตลาด” ด้วยซ้ำ
ดังนั้น benchmark ที่ใช้เปรียบต้องสัมพันธ์กับประเภทสินทรัพย์จริง เช่น หากเป็นกองทุนตราสารหนี้ ก็ควรเทียบกับดัชนีตราสารหนี้ ไม่ใช่ไปเทียบกับหุ้น